วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประวัติความเป็นมาของการปลูกพืชไร้ดิน


  
มนุษย์เริ่มรู้จักการเพาะปลูกมาตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคนีโอทิค (Neolithic Age) เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยการเกษตรกรรมในยุคนั้นจะเป็นการเกษตรแบบเคลื่อนย้ายแหล่งเพาะปลูก โดยมนุษย์การทำการตั้งที่อยู่อาศัยในบริเวณที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์แล้วทำการเพาะปลูกพืชเพื่อใช้บริโภค และประโยชน์ใช้สอยด้านต่างๆ ต่อมาเมื่อดินในบริเวณนั้นเริ่มเสื่อมคุณภาพลง มนุษย์ก็จะเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยใหม่แล้วย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ  แต่แหล่งเกษตรกรรมที่ถือว่าเป็นยุคแรกของการเพาะปลูกพืชที่มีการตั้งถิ่นฐานชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่ดินแดนที่เรียกว่า เมโสโปเตเมีย (ประเทศอิรัก และอิหร่านในปัจจุบัน) โดยถือเป็นแหล่งอารยธรรมด้านการเกษตรที่แรกของโลก

 
      สำหรับการปลูกพืชแบบไร้ดินนั้น ก็มีจุดกำเนิดอยู่ที่ ฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส (ในประเทศอิรัก ในปัจจุบัน) โดยสถานที่นี้มีชื่อเรียกว่า สวนลอยฟ้าบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 แห่งกรุงบาบิโลเนีย  โดยสร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ที่ชื่อพระนางเซมิรามีส  สวนบาบิโลน นี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีความสูงประมาณ 75 ฟุต  กินพื้นที่ประมาณ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นจะปลูกประดับด้วยต้นไม้ และดอกไม้ รวมถึงมีการปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่างๆ ไว้บนสิ่งก่อสร้างนั้น โดยวิศวกรในสมัยนั้นได้มีการออกแบบและสร้างเครื่องมือที่สามารถ ดึงน้ำจากแม่น้ำไทกิส ไปทำเป็นสวนน้ำตกและนำน้ำนั้นไปใช้ในการเพาะปลูกพืชบนสวนลอยฟ้าแห่งนั้น  แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สวนลอยฟ้าบาบิโลนนี้ได้พังทลายไปจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช
แต่การปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ที่มีหลักการวิทยาศาสตร์จริงๆ นั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 400 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี ค.ส. 1600  นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม  ชื่อ ยาน แบ็บทิสทา ฟาน เฮลมอนท์ (Jan Baptista Van Helmont) ได้ทำการทดลองปลูกต้นวิลโล ในดินที่บรรจุในท่อที่รดด้วยน้ำฝนเป็นเวลา 5 ปี ผลปรากฎว่าต้นวิลโล่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจาก 5 ปอนด์ เป็น 169 ปอนด์ ในขณะที่ดินที่ใช้ปลูกมีน้ำหนักหายไปเพียงเล็กน้อย จากการทดลองนี้เขาสรุปว่า พืชจะสามารถรับธาตุอาหารที่ใช้ในการเจริญเติบโตได้นั้นต้องอาศัยน้ำเป็นตัวนำพา  มากกว่าการได้รับแร่ธาตุโดยตรงจากดิน 
ต่อมาในปี ค.ศ.1699  จอห์น วูดวาด (John Woodward) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ทำการทดลองปลูกพืชในน้ำ โดยอาศัยธาตุอาหารจากดินในแหล่งต่างๆ มาละลายลงในน้ำ
 ต่อมาในปี ค.ศ. 1804 นิโคลาส เทโอดอร์ เดอ โซซูร์ (Nicolas Theodore de Saussure) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวถึงความต้องการธาตุอาหารของพืชเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต
 ต่อมาในปี ค.ศ. 1860 ยูลิอุส ฟอน ซัคส์ (Julius von Sachs)  นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันนับเป็นคนแรกที่ได้คิดค้นสารละลายธาตุอาหารมาตรฐานขึ้น หลังจากนั้นจึงได้มี การคิดค้นสารละลายธาตุอาหารสูตรต่างๆ โดยนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิลเฮลม์ คน็อป (Willhelm Knop) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ซึ่งสูตรสารละลายธาตุอาหารที่เขาคิดค้นขึ้นใน ค.ศ.1865 ก็ยังนำมาใช้อยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่เพิ่มธาตุอาหารเสริมบางชนิดเข้าไปเท่านั้น
 จนกระทั่ง ค.ศ.1925 ศาสตราจารย์ วิลเลียม เอฟ. แกริก (William F. Gericke) ชาวอเมริกัน แห่งมหาลัยแคลิฟอร์เนีย ก็ได้พัฒนาเทคนิคการเติมอากาศลงในน้ำ และสารละลายธาตุอาหารพืช จนสามารถนำมาปลูกด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์แล้วนำไปใช้ปลูกในเชิงธุรกิจได้เป็นผลสำเร็จ  ทำให้ศาสตราจารย์ผู้นี้ได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งเทคโนโลยีไฮโดรโพนิกส์สมัยใหม่ การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์จึงเริ่มขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา 
ส่วนในทวีปเอเชีย ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่นำเอาเทคโนโลยีการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์มาใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยเริ่มต้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2  สิ้นสุดลง กองทัพของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปยึดครองประเทศญี่ปุ่น และได้เอาเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปใช้ปลูกผักเพื่อใช้เลี้ยงทหารอเมริกัน  
สำหรับการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์ในประเทศไทยนั้น พ.ศ.2520 สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯไปเยือนประเทศอิสราเอล เพื่อทอดพระเนตรด้านการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ รวมทั้งด้านเกษตร และการวิจัยเกี่ยวกับการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินและต่อมาในปี พ.ศ.2526 พระองค์ท่านได้เสด็จฯไปประเทศญี่ปุ่น และได้ทรงได้ทอดพระเนตรการปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์เป็นการค้าซึ่งเป็นระบบ DFT (Deep Flow Technique) ทรงสนพระทัยเป็นอย่างมาก จึงทรงได้ศึกษาหาแนวทางและความเป็นได้ของเทคโนโลยีด้านนี้เข้ามาใช้ในประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น