
มนุษย์เริ่มรู้จักการเพาะปลูกมาตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคนีโอทิค
(Neolithic
Age) เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
โดยการเกษตรกรรมในยุคนั้นจะเป็นการเกษตรแบบเคลื่อนย้ายแหล่งเพาะปลูก
โดยมนุษย์การทำการตั้งที่อยู่อาศัยในบริเวณที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์แล้วทำการเพาะปลูกพืชเพื่อใช้บริโภค
และประโยชน์ใช้สอยด้านต่างๆ ต่อมาเมื่อดินในบริเวณนั้นเริ่มเสื่อมคุณภาพลง
มนุษย์ก็จะเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยใหม่แล้วย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ
แต่แหล่งเกษตรกรรมที่ถือว่าเป็นยุคแรกของการเพาะปลูกพืชที่มีการตั้งถิ่นฐานชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อ
8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่ดินแดนที่เรียกว่า เมโสโปเตเมีย
(ประเทศอิรัก และอิหร่านในปัจจุบัน) โดยถือเป็นแหล่งอารยธรรมด้านการเกษตรที่แรกของโลก

สำหรับการปลูกพืชแบบไร้ดินนั้น
ก็มีจุดกำเนิดอยู่ที่ ฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส (ในประเทศอิรัก ในปัจจุบัน)
โดยสถานที่นี้มีชื่อเรียกว่า สวนลอยฟ้าบาบิโลน (Hanging
Gardens of Babylon) สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 แห่งกรุงบาบิโลเนีย โดยสร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ที่ชื่อพระนางเซมิรามีส สวนบาบิโลน นี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีความสูงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ประมาณ 400
ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นจะปลูกประดับด้วยต้นไม้ และดอกไม้
รวมถึงมีการปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่างๆ ไว้บนสิ่งก่อสร้างนั้น
โดยวิศวกรในสมัยนั้นได้มีการออกแบบและสร้างเครื่องมือที่สามารถ
ดึงน้ำจากแม่น้ำไทกิส
ไปทำเป็นสวนน้ำตกและนำน้ำนั้นไปใช้ในการเพาะปลูกพืชบนสวนลอยฟ้าแห่งนั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สวนลอยฟ้าบาบิโลนนี้ได้พังทลายไปจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อศตวรรษที่
2 ก่อนคริสต์ศักราช
แต่การปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ที่มีหลักการวิทยาศาสตร์จริงๆ
นั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 400 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี ค.ส. 1600 นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม ชื่อ ยาน แบ็บทิสทา ฟาน เฮลมอนท์ (Jan
Baptista Van Helmont) ได้ทำการทดลองปลูกต้นวิลโล
ในดินที่บรรจุในท่อที่รดด้วยน้ำฝนเป็นเวลา 5 ปี
ผลปรากฎว่าต้นวิลโล่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจาก 5 ปอนด์ เป็น 169 ปอนด์
ในขณะที่ดินที่ใช้ปลูกมีน้ำหนักหายไปเพียงเล็กน้อย จากการทดลองนี้เขาสรุปว่า
พืชจะสามารถรับธาตุอาหารที่ใช้ในการเจริญเติบโตได้นั้นต้องอาศัยน้ำเป็นตัวนำพา มากกว่าการได้รับแร่ธาตุโดยตรงจากดิน
➨ ต่อมาในปี
ค.ศ.1699 จอห์น วูดวาด (John
Woodward) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ทำการทดลองปลูกพืชในน้ำ
โดยอาศัยธาตุอาหารจากดินในแหล่งต่างๆ มาละลายลงในน้ำ
➨ ต่อมาในปี
ค.ศ. 1804 นิโคลาส เทโอดอร์ เดอ โซซูร์ (Nicolas Theodore de
Saussure) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส
ได้กล่าวถึงความต้องการธาตุอาหารของพืชเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต
➨ ต่อมาในปี
ค.ศ. 1860 ยูลิอุส ฟอน ซัคส์ (Julius von Sachs) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันนับเป็นคนแรกที่ได้คิดค้นสารละลายธาตุอาหารมาตรฐานขึ้น
หลังจากนั้นจึงได้มี การคิดค้นสารละลายธาตุอาหารสูตรต่างๆ โดยนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิลเฮลม์ คน็อป (Willhelm Knop) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน
ซึ่งสูตรสารละลายธาตุอาหารที่เขาคิดค้นขึ้นใน ค.ศ.1865 ก็ยังนำมาใช้อยู่ในปัจจุบัน
เพียงแต่เพิ่มธาตุอาหารเสริมบางชนิดเข้าไปเท่านั้น
➨ จนกระทั่ง
ค.ศ.1925 ศาสตราจารย์ วิลเลียม เอฟ. แกริก (William F. Gericke) ชาวอเมริกัน แห่งมหาลัยแคลิฟอร์เนีย ก็ได้พัฒนาเทคนิคการเติมอากาศลงในน้ำ
และสารละลายธาตุอาหารพืช
จนสามารถนำมาปลูกด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์แล้วนำไปใช้ปลูกในเชิงธุรกิจได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้ศาสตราจารย์ผู้นี้ได้รับการยกย่องให้เป็น
บิดาแห่งเทคโนโลยีไฮโดรโพนิกส์สมัยใหม่
การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์จึงเริ่มขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา
ส่วนในทวีปเอเชีย
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่นำเอาเทคโนโลยีการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์มาใช้ในเชิงพาณิชย์
โดยเริ่มต้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง กองทัพของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปยึดครองประเทศญี่ปุ่น
และได้เอาเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปใช้ปลูกผักเพื่อใช้เลี้ยงทหารอเมริกัน
สำหรับการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์ในประเทศไทยนั้น
พ.ศ.2520 สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯไปเยือนประเทศอิสราเอล
เพื่อทอดพระเนตรด้านการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ รวมทั้งด้านเกษตร
และการวิจัยเกี่ยวกับการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินและต่อมาในปี พ.ศ.2526
พระองค์ท่านได้เสด็จฯไปประเทศญี่ปุ่น
และได้ทรงได้ทอดพระเนตรการปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์เป็นการค้าซึ่งเป็นระบบ DFT
(Deep Flow Technique) ทรงสนพระทัยเป็นอย่างมาก
จึงทรงได้ศึกษาหาแนวทางและความเป็นได้ของเทคโนโลยีด้านนี้เข้ามาใช้ในประเทศไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น