วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

"การ์เดน บาย เดอะ เบย์" มหัศจรรย์....สวนสวรรค์ริมอ่าว

หากสวนลอยบาบิโลน ถือเป็น 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ “การ์เดน บาย เดอะ เบย์” อาจเปรียบได้กับสวนสวรรค์แดนมหัศจรรย์แห่งโลกอนาคต ที่นำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาผสมผสานกับการออกแบบพื้นที่สีเขียวเพื่อการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน
สิงคโปร์ ประเทศที่พัฒนาด้านการก่อสร้างไม่เคยหยุด ทั้งสนามบินสุดไฮเทค อาคารสูงระฟ้า โรงแรมหรูหราทันสมัย สถานบันเทิงเริงรมย์อภิมหามหึมา แต่สิ่งหนึ่งที่เมืองนี้ไม่ละทิ้งคือ ความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้าที่ดูจะเติบโตงอกงามไปพร้อมกับสิ่งก่อสร้างแปลกตา จนอดทึ่งไม่ได้ว่าไฉนผู้คนบนเกาะนี้ถึงรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้ดีเยี่ยม
การ์เดน บาย เดอะ เบย์ Gardens by the Bay (GB) ดำเนินงานโดย National Parks Board (NParks) มีพื้นที่รวม 101 เฮกเตอร์ หรือราว 1 ล้านตารางเมตร มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือกว่า 25,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 สวนริมน้ำขนาดใหญ่ สวนเบย์ เซาท์ (Bay South) สวนเบย์ อีสต์ (Bay East) สวนเบย์ เซ็นเตอร์ (Bay Central)

สวนเบย์ เซาท์ ได้เปิดบริการแล้ว มีพื้นที่ 54 เฮกเตอร์ จัดแสดงพืชพรรณที่รวบรวมพันธุ์ไม้แปลกและหายากจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้ชาวสิงคโปร์ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ได้เรียนรู้ธรรมชาติของพืชพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง ซึ่งสะท้อนแนวคิดการพัฒนาเมืองของสิงคโปร์ จาก “สวนกลางเมือง” สู่การเป็น “เมืองในสวน”

สิ่งแรกในโครงการที่เห็นแล้วขอว้าว!!! ดังๆ คือ ต้นไม้ยักษ์ (Supertrees) จำนวน 18 ต้น มีความสูงตั้งแต่ 25-50 เมตร และมีทางเดินลอยฟ้า (Sky Walk) เชื่อมถึงกัน รอบลำต้นจัดเป็นสวนแนวตั้ง ปกคลุมด้วยไม้เลื้อยเขตร้อน พืชอิงอาศัย และเฟิร์น ในช่วงค่ำคืนจะมีแสงไฟหลากสีจากแผงโซลาร์เซลล์ เพิ่มความงดงามให้ต้นไม้ ส่วนด้านบนสุดของไม้ยักษ์บางต้นยังสร้างภัตตาคารหรูไว้ต้อนรับผู้มาเยือนได้อิ่มเอมกับอาหารรสเลิศพร้อมชมทัศนียภาพริมอ่าว
ถัดไปคือ ฟลาวเวอร์ โดม (Flower Dome) และ คลาวด์ ฟอเรสต์ (Cloud Forest) เป็นเรือนกระจกขนาดใหญ่รูปเปลือกหอยแครงยักษ์ 2 ฝา ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 5 ปี ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและเทคนิคทางวิศวกรรมชั้นสูง อาทิ กระจกเคลือบสารกันรังสี สามารถควบคุมแสงสว่างได้ เหนือกระจกมีที่บังแดดคล้ายใบเรือ ซึ่งจะเคลื่อนออกมาคลุมโดมอัตโนมัติเมื่อแดดจัด เพื่อรักษาอุณหภูมิภายในโดมให้คงที่ราว 16 องศาเซลเซียส โดยมีระบบทำความเย็นด้วยของเหลว เรียกว่า “ระบบพลังงานร่วม” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน

ทั้งนี้ NParks ต้องดูแลต้นไม้ถึง 3 ล้านต้นทั่วประเทศ และตัดแต่งกิ่งก้านทุกเดือน ทำให้มีเศษไม้น้ำหนักราว 3 พันตันต่อเดือน

โดยจะนำเศษไม้มาเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อต้มน้ำแล้วใช้ไอน้ำขับดันกังหันผลิตไฟฟ้าไปทำความเย็นให้กับเรือนกระจกทั้ง 2 แห่ง ส่วนขี้เถ้าที่เหลือจากการเผาไม้ นำมาทำปุ๋ยใส่ต้นไม้อีกทอด นับเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
ฟลาวเวอร์ โดม มีพื้นที่ 1.2 เฮกเตอร์ (ประมาณสนามฟุตบอล 2.2 สนาม) มีความสูง 38 เมตรนับจากพื้นจดยอดสูงสุดของโครงสร้าง มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ 4,570 ตารางเมตร ภายในฟลาวเวอร์ โดม มี 2 ชั้น ลักษณะคล้ายสวนลอยฟ้า แบ่งเป็นส่วนจัดแสดงพันธุ์พืชที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนตามช่วงเวลา หรือฟลาวเวอร์ ฟิลด์ (Flower Field) และส่วนจัดแสดงไม้ยืนต้นที่มีต้นไม้ไฮไลต์ เช่น ต้นขวดยักษ์ Drunken Tree จากอเมริกาใต้ ซึ่งมีลำต้นหนาใช้กักเก็บน้ำไว้สู้กับสภาวะแห้งแล้ง ชนพื้นเมืองของอาร์เจนตินา จะนำลำต้นมาประดิษฐ์งานหัตถกรรมและสร้างเรือแคนู, ต้นมะกอกสเปนอายุกว่า 500 ปี, ต้นแอฟริกันเบาบับ (African Baobab) อายุหลายร้อยปีจากทวีปแอฟริกา และออสเตรเลีย
คลาวด์ ฟอเรสต์ มี พื้นที่ 0.8 เฮกเตอร์ (ประมาณสนามฟุตบอล 1.5 สนาม) มีความสูง 58 เมตร ไฮไลต์ของโดมก่อสร้างเป็นภูเขาน้ำตก (Cloud Mountain) สูงตระหง่าน กว่า 30 เมตร มีทางเดินลอยฟ้าโดยรอบ บนภูเขาจะปลูกพันธุ์ไม้หลาก หลายเลียนแบบธรรมชาติของป่าดิบชื้น โดมนี้มีต้นไม้สัญลักษณ์คือต้นกุหลาบพันปี สายพันธุ์หายาก ที่มีความสูงกว่า 10 เมตร รวมทั้งต้นไม้สำคัญอื่นๆ อาทิ ต้นสนดอว์น เรดวู้ด สายพันธุ์ใกล้เคียงสนเรดวู้ดยักษ์ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โตเต็มที่จะสูงถึง 50 เมตร, ต้นทัสมาเนียน ทรี เฟิร์น สายพันธุ์ใหญ่สุดสูงถึง 10-15 เมตร มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียและทัสมาเนีย นอกจากนี้ ภายในโดมยังมีโรงภาพยนตร์ และจัดแสดงนิทรรศการ เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาหาความรู้ด้วย

พื้นที่สวนแนวตั้งที่ทันสมัยยังมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับปรัชญาตะวันออก

พื้นที่สวนแนวตั้งที่ทันสมัยยังมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับปรัชญาตะวันออก
สวนแนวตั้งเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องของมนุษย์ตั้งแต่ 500 BC เมื่อกษัตริย์ Nebuchadnezzar II สร้างสวนลอยแห่งบาบิโลนในการรักษาโรคคิดถึงบ้านที่ Ailed ภรรยาของเขา, Amytis จากสื่อการบำบัดผลของสวนและการปฏิบัติของสวนที่มีความสุข ยังมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับปรัชญาตะวันออก


และวันนี้ได้รับการยอมรับแม้โดยวงในของการแพทย์ตะวันตก แต่ในขณะที่ประชากรโลกคืบคลานผ่านมา 7000000000, พื้นที่สวนมาที่สวนแนวตั้งที่ทันสมัย​​โอกาสที่จะปลูกฝังการเชื่อมต่อที่จำเป็น ไม่ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ระดับพื้นดินหรือบนชั้น 14.


สวนแนวตั้งในร่ม(ที่พักอาศัย)ภาพต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงสำนักงานที่บ้านของพฤกษศาสตร์มีชื่อเสียงระดับโลก และบิดาของสวนแนวตั้ง, Patrick Blanc เขาเป็นภาพต่อมายืนอยู่เบื้องหน้าของหนึ่งในที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ การสร้างสรรค์-ผนังสีเขียวของ European Parliament ในกรุงบรัสเซลส์ ประสบการณ์ Blanc ที่แสดงออกในการผลิตติดตั้งสวนขนาดใหญ่ เขาให้เครดิตความสำเร็จของเขาถึงการเลือกสายพันธุ์เฉพาะของพืชที่เจริญเติบโตตามธรรมชาติ ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกันเช่นหินและหน้าผา เขาแนะนำพันธุ์ไม้เขตร้อนจากสถานที่ๆเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยู่ในวัยเด็กของการทำงานของเขา และระมัดระวังเพื่อให้ครอบคลุมส่วนที่ลดลงของชิ้นส่วนกับผู้ที่มีความชื้น ออกจากส่วนที่สูงขึ้นไปยังผู้ที่แสงแดด เพลิดเพลินและได้รับผลกระทบน้อยจากการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล.


ถ้าคุณจะสังเกตเห็นพื้นของสำนักงานของเขา ส่วนหนึ่งเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่!








แรงบันดาลใจในร่มสวนแนวตั้งเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น ๆ :











ประวัติความเป็นมาของการปลูกพืชไร้ดิน


  
มนุษย์เริ่มรู้จักการเพาะปลูกมาตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคนีโอทิค (Neolithic Age) เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยการเกษตรกรรมในยุคนั้นจะเป็นการเกษตรแบบเคลื่อนย้ายแหล่งเพาะปลูก โดยมนุษย์การทำการตั้งที่อยู่อาศัยในบริเวณที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์แล้วทำการเพาะปลูกพืชเพื่อใช้บริโภค และประโยชน์ใช้สอยด้านต่างๆ ต่อมาเมื่อดินในบริเวณนั้นเริ่มเสื่อมคุณภาพลง มนุษย์ก็จะเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยใหม่แล้วย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ  แต่แหล่งเกษตรกรรมที่ถือว่าเป็นยุคแรกของการเพาะปลูกพืชที่มีการตั้งถิ่นฐานชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่ดินแดนที่เรียกว่า เมโสโปเตเมีย (ประเทศอิรัก และอิหร่านในปัจจุบัน) โดยถือเป็นแหล่งอารยธรรมด้านการเกษตรที่แรกของโลก

 
      สำหรับการปลูกพืชแบบไร้ดินนั้น ก็มีจุดกำเนิดอยู่ที่ ฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส (ในประเทศอิรัก ในปัจจุบัน) โดยสถานที่นี้มีชื่อเรียกว่า สวนลอยฟ้าบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 แห่งกรุงบาบิโลเนีย  โดยสร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ที่ชื่อพระนางเซมิรามีส  สวนบาบิโลน นี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีความสูงประมาณ 75 ฟุต  กินพื้นที่ประมาณ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นจะปลูกประดับด้วยต้นไม้ และดอกไม้ รวมถึงมีการปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่างๆ ไว้บนสิ่งก่อสร้างนั้น โดยวิศวกรในสมัยนั้นได้มีการออกแบบและสร้างเครื่องมือที่สามารถ ดึงน้ำจากแม่น้ำไทกิส ไปทำเป็นสวนน้ำตกและนำน้ำนั้นไปใช้ในการเพาะปลูกพืชบนสวนลอยฟ้าแห่งนั้น  แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สวนลอยฟ้าบาบิโลนนี้ได้พังทลายไปจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช
แต่การปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ที่มีหลักการวิทยาศาสตร์จริงๆ นั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 400 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี ค.ส. 1600  นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม  ชื่อ ยาน แบ็บทิสทา ฟาน เฮลมอนท์ (Jan Baptista Van Helmont) ได้ทำการทดลองปลูกต้นวิลโล ในดินที่บรรจุในท่อที่รดด้วยน้ำฝนเป็นเวลา 5 ปี ผลปรากฎว่าต้นวิลโล่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจาก 5 ปอนด์ เป็น 169 ปอนด์ ในขณะที่ดินที่ใช้ปลูกมีน้ำหนักหายไปเพียงเล็กน้อย จากการทดลองนี้เขาสรุปว่า พืชจะสามารถรับธาตุอาหารที่ใช้ในการเจริญเติบโตได้นั้นต้องอาศัยน้ำเป็นตัวนำพา  มากกว่าการได้รับแร่ธาตุโดยตรงจากดิน 
ต่อมาในปี ค.ศ.1699  จอห์น วูดวาด (John Woodward) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ทำการทดลองปลูกพืชในน้ำ โดยอาศัยธาตุอาหารจากดินในแหล่งต่างๆ มาละลายลงในน้ำ
 ต่อมาในปี ค.ศ. 1804 นิโคลาส เทโอดอร์ เดอ โซซูร์ (Nicolas Theodore de Saussure) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวถึงความต้องการธาตุอาหารของพืชเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต
 ต่อมาในปี ค.ศ. 1860 ยูลิอุส ฟอน ซัคส์ (Julius von Sachs)  นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันนับเป็นคนแรกที่ได้คิดค้นสารละลายธาตุอาหารมาตรฐานขึ้น หลังจากนั้นจึงได้มี การคิดค้นสารละลายธาตุอาหารสูตรต่างๆ โดยนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิลเฮลม์ คน็อป (Willhelm Knop) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ซึ่งสูตรสารละลายธาตุอาหารที่เขาคิดค้นขึ้นใน ค.ศ.1865 ก็ยังนำมาใช้อยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่เพิ่มธาตุอาหารเสริมบางชนิดเข้าไปเท่านั้น
 จนกระทั่ง ค.ศ.1925 ศาสตราจารย์ วิลเลียม เอฟ. แกริก (William F. Gericke) ชาวอเมริกัน แห่งมหาลัยแคลิฟอร์เนีย ก็ได้พัฒนาเทคนิคการเติมอากาศลงในน้ำ และสารละลายธาตุอาหารพืช จนสามารถนำมาปลูกด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์แล้วนำไปใช้ปลูกในเชิงธุรกิจได้เป็นผลสำเร็จ  ทำให้ศาสตราจารย์ผู้นี้ได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งเทคโนโลยีไฮโดรโพนิกส์สมัยใหม่ การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์จึงเริ่มขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา 
ส่วนในทวีปเอเชีย ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่นำเอาเทคโนโลยีการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์มาใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยเริ่มต้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2  สิ้นสุดลง กองทัพของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปยึดครองประเทศญี่ปุ่น และได้เอาเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปใช้ปลูกผักเพื่อใช้เลี้ยงทหารอเมริกัน  
สำหรับการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์ในประเทศไทยนั้น พ.ศ.2520 สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯไปเยือนประเทศอิสราเอล เพื่อทอดพระเนตรด้านการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ รวมทั้งด้านเกษตร และการวิจัยเกี่ยวกับการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินและต่อมาในปี พ.ศ.2526 พระองค์ท่านได้เสด็จฯไปประเทศญี่ปุ่น และได้ทรงได้ทอดพระเนตรการปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์เป็นการค้าซึ่งเป็นระบบ DFT (Deep Flow Technique) ทรงสนพระทัยเป็นอย่างมาก จึงทรงได้ศึกษาหาแนวทางและความเป็นได้ของเทคโนโลยีด้านนี้เข้ามาใช้ในประเทศไทย

ศิลปะของจักรรดิบาบิโลเนีย

บาบิโลเนีย (Babilonia)
               เป็นชนชาติเก่าแก่ที่สุดในดินแดนเมโสโปเตเมียเช่นเดียวกับชาวซูเมอร์  โดยมีถิ่นฐานอยู่ตอนล่างของบาบิโลเนียใกล้กับอ่าวเปอร์เซีย ต่อมาอาณาจักรบาบิโลเนียมีความเจริญและเป็นปึกแผ่นมากขึ้น มีกษัตริย์ปกครองสืบทอนกันมาหลายสมัย

สถาปัตยกรรม

              ในยุคบาบิโลเนียนิยมสร้าง ซุ้มประตูขนาดใหญ่ และที่มีชื่อเสียงก็คือ ประตูอีสตาร์ (Ishtar) ซึ่งในการก่อสร้างจะนำเอาเครื่องเคลือบดินเผามาตกแต่งทั้งหมด



ประติมากรรม

                งานประติมากรรมที่สำคัญคือ ศิลาจารึกของพระเจ้าฮัมมูราบีโดยแกะบนแผ่นหินสีดำรูปสี่เหลี่ยม มีอักษรลิ่มจารึกเป็นประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี  ตอนบนของแผ่นหินเป็นภาพพระเจ้าฮัมมูราบีกำลังยืนยกมือแสดงคารวะต่อเทพเจ้าชามาส เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังประทานกฎหมายให้แก่พระเจ้าฮัมมูราบี


จิตรกรรม


               ลักษณะของจิตรกรรมเป็นดินเผาเคลือบสี ตกแต่งตามซุ้มประตู กำแพง และเครื่องใช้ต่าง ๆ


การจัดการเรื่องระบบน้ำ


การจัดการเรื่องระบบน้ำของสวนลอยบาบิโลนนั้น แม้ว่าอุทยานนี้จะตั้งอยู่ใกล้กับริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส แต่สวนที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่โตมโหฬาร และมีลักษณะก่อตัวสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ แบบขั้นบันไดในระดับความสูงถึง 30 เมตรแบบนี้ ย่อมต้องการเทคโนโลยีในการทดน้ำจากแม่น้ำขึ้นไปบนอุทยานให้เพียงพอกับความต้องการน้ำจำนวนมหาศาลในแต่ละวันสำหรับใช้ในการรดน้ำเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวดินและต้นไม้ดอกไม้ รวมทั้งหล่อเลี้ยงน้ำพุและน้ำตกจำลองจำนวนมากมายที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปบนสวนพฤกษชาติแห่งนี้
เนื่องจากยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดนักโบราณคดีจึงสันนิษฐานเกี่ยวกับเรื่องระบบน้ำไว้หลายประการ เช่น การใช้กำลังคนหรือสัตว์ในการขนน้ำขึ้นไปบนสวน หรืออาจจะใช้ระหัดสูบน้ำของอาร์คิมิดิส (Archimedes screw) ที่กลไกการทำงานเกิดจากการหมุนตัวของแท่งเกลียวในกระบอกสูบ ทดน้ำจากแม่น้ำขึ้นไปบนสวนโดยผ่านระบบท่อซึ่งมีขนาดและระดับความลาดเอียงของท่อที่ต่างกันเพื่อแจกจ่ายน้ำไปตามส่วนต่างๆ ทั่วทั้งอุทยาน 
          อาร์คิมีดีส(Archimedes) บุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องสูบน้ำ ด้วยผลงานชิ้นสำคัญคือ การสร้างระหัดวิดน้ำ หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีส (Archimedes Screw)" เพื่อใช้สำหรับวิดน้ำขึ้นมาจากบ่อ หรือแม่น้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคหรือบริโภค อาร์คิมีดีสคิดสร้างปั๊มน้ำยุคโบราณนี้ขึ้นมานั้นก็เพราะเขาเห็นความลำบากของชาวเมืองในการนำน้ำขึ้นจากบ่อหรือแม่น้ำมาใช้ซึ่งต้องใช้แรงงานและเสียเวลาเป็นอย่างมาก หน้าที่ระหัดวิดน้ำของอาร์คิมีดีสคือเพื่อทุ่นแรงคนนับว่าเป็นแนวคิดเดียวกับการใช้เครื่องสูบน้ำในสมัยนี้
ระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีส ประกอบไปด้วยท่อทรงกระบอกขนาดใหญ่ภายในเป็นแกนระหัด มีลักษณะคล้ายกับดอกสว่าน เมื่อต้องการใช้น้ำก็หมุนที่ด้ามจับระหัดน้ำก็จะไหลขึ้นมาตามเกลียวระหัดนั้น ซึ่งต่อมามีผู้ดัดแปลงนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมาย เช่นการลำเลียงถ่านหินเข้าสู่เตา และนำเถ้าออกจากเตา การบดเนื้อสัตว์ เป็นต้น

ปัจจุบันเรายังสามารถพบเห็นระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีสได้ในระบบบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ทั่ว เนื่องจากมีประสิธิภาพในการสูบน้ำเสียที่มีสารแขวนลอยหรือตะกอนสูงได้ดี และยังสามารถพบในธุรกิจการเลี้ยงปลาโดยมักใช้ในการขนย้ายปลา ระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีส สามารถลดความเครียดและการบาดเจ็บของปลาจากการขนย้าย